อลาเวอร์ดี คว้าเข็มขัดแชมป์โลกเส้นนี้ หลังเอาชนะ “Muay Thai Boy” จาง เฉิงหลง เมื่อ 6 ธันวาคม 2562 หลังจากนั้นการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เขาต้องอยู่ในประเทศรัสเซียบ้านเกิดตลอดทั้งปี และไม่มีโอกาสได้ป้องกันตำแหน่งเลย

          “ผมคิดว่าการร้างเวทีกลับเป็นประโยชน์ต่อผม เพราะตอนนี้ผมรู้สึกกระหายชัยชนะมาก มันยิ่งทำให้ผมอยากจะขึ้นเวทีและแสดงฝีมือให้ทุกคนได้เห็น”

          “ตั้งแต่ผมเป็นแชมป์โลก ผมก็มีแรงกระตุ้นให้ซ้อมหนักกว่าเดิมเพื่อรักษาเข็มขัดซึ่งมันสำคัญมาก ผมจะไม่ให้ใครมากระชากมันไป ผมจะแสดงให้เห็นว่าเพราะอะไรเข็มขัดควรต้องอยู่กับผม”

          แม้ผู้ท้าชิงอย่าง กัปปิตัน จะเปิดตัวอย่างสวยงามด้วยการน็อก เทพคิกบ็อกซิ่ง “เพชรทนง เพชรเฟอร์กัส” เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา  แต่  อลาเวอร์ดี กลับไม่รู้สึกตระหนกตกใจ ในทางกลับกันยิ่งทำให้เขาตื่นเต้นที่จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือ เพราะในฐานะราชาของรุ่นเขาย่อมต้องเจอกับบททดสอบที่ยากที่สุดอยู่แล้ว

          “ไฟต์ล่าสุดของเขา (กัปปิตัน) มันจบเร็วไปหน่อย ผมไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ ผมคิดว่าจุดแข็งของเขาอยู่ที่สมอง เขาคาดเดาได้ยาก และมีทักษะการต่อสู้ที่ดีมาก เขาสามารถควบคุมเกมได้ ซึ่งผมเองชอบสไตล์การต่อสู้แบบนี้มาก เขาผ่านมวยเก่งๆมาเยอะ ซึ่งผมคิดว่าเขามีดีพร้อมทุกอย่าง ทั้งไอคิว เทคนิค และจังหวะ”

          “ส่วนจุดแข็งของผมคือแขนขายาว ช่วงเขาสั้นกว่าผม อีกอย่างผมมีทักษะมวยสากลและหมัดหนัก”

          นอกจากนี้แชมป์โลกหนุ่มวัย 26 ปีซึ่งมีความกระหาย และไม่ยอมให้ใครกระชากเข็มขัดไปจากเขาได้ง่าย ๆ ยังมองการณ์ไกลถึงไฟต์ต่อ ๆ ไป หากผ่าน กัปปิตัน ไปได้ เขาอยากเจอระดับเจ้าตำนานอย่าง “น้องโอ๋ (ไก่ย่างห้าดาว)” และ “เลียม แฮร์ริสัน”  พร้อมกับวางแผนที่จะขยับขึ้นไปชกในรุ่นเฟเธอร์เวตหากเป็นไปได้

          “ในฐานะนักสู้ผมชอบไฟต์นี้มาก เพราะเขา (กัปปิตัน) มีดีกรีเป็นแชมป์มวยไทย เรตติ้งสูง และมีชื่อเสียงในประเทศ ผมอยากทดสอบฝีมือกับเขา”

          “ถ้าเขาดีมา ผมก็ดีตอบ ผมจะไม่น็อกเขา แต่ถ้าเขาไม่ดีด้วย ผมจะน็อกเขาภายใน 5 วินาที ไม่ใช่ 6!”