“บิ๊กบางจาก” พิชัย ชุณหวชิร นายกสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย ประกาศอัดฉีดนักกีฬามวยสากลทีมชาติไทย หากคว้าเหรียญทองรับ 10 ล้านบาท ส่วนเหรียญเงิน รับ 3 ล้าน และเหรียญทองแดง 2 ล้านบาท

ความเคลื่อนไหวของทัพกำปั้นไทย ที่สามารถผ่านเข้าไปถึงรอบ 8 คน หรือรอบก่อนรองชนะเลิศ ในศึกกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 โตเกียวเกมส์ ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ 3 รุ่น ประกอบด้วย รุ่น 51 กก.หญิง จุฑามาศ จิตรพงษ์ พบ Naz Buse Cakiroglu(ตุรกี), รุ่น 57 กก. ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี พบ Lazaro Alvarez (คิวบา) มีคิวแข่งขันในวันที่ 1 ส.ค. และ รุ่น 60 กก.หญิง สุดาพร สีสอนดี พบ Caroline Dubois (สหราชอาณาจักร) ในวันที่ 3 ส.ค.นี้

ล่าสุด นายพิชัย ชุณหวชิร นายกสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย เผยว่าได้หารือกับกลุ่มพันธมิตรและบริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) ตั้งเงินรางวัลอัดฉีดเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจนักมวยทีมชาติไทยที่ฝึกซ้อมมาอย่างหนัก และสามารถผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศได้ถึง 3 คน ทำให้ตอนนี้ทุกคนมีโอกาสลุ้นเหรียญรางวัล โดยผู้ที่ได้เหรียญทอง จะได้รับเงินอัดฉีดจำนวน10 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ภาคส่วน จาก บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่นจำกัด(มหาชน) จำนวน 5 ล้านบาท และกลุ่มพันธมิตร ที่ยังไม่เปิดเผยรายชื่ออีก 5 ล้านบาท ส่วนเหรียญเงิน บางจาก จะมอบเงินอัดฉีดให้ 3 ล้านบาท และเหรียญทองแดง 2 ล้านบาท

นอกจากนี้นายใหญ่กำปั้นไทย ยังเผยเพิ่มเติมอีกว่า ในรอบที่ผ่านมา นักชกทั้ง 3 คน ทำผลงานได้น่าประทับใจ มีหัวใจนักสู้ มีการพัฒนาด้านการชกที่ดี รวมทั้งมีความแข็งแกร่ง ไม่ว่า ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี ที่มีคิว พบ นักชกคิวบา ที่ดูชื่อชั้นนักชกคิวบารายนี้จะเหนือกว่า แต่เชื่อว่าหาก “เจ้าสด” ชกได้อย่างมั่นใจเหมือนรอบที่ผ่านมา ก็มีโอกาสที่จะผ่านเข้ารอบต่อไปได้

เช่นเดียวกับ สุดาพร สีสอนดี  ที่เตรียมตัวมาดีในทัวรืนาเมนต์นี้  บวกกับประสบการณ์ในการชกระดับชาติ ถึงเวลาแล้ว น่าจะเอาความเก๋า เอาชนะนักมวยจากสหราชอาณาจักรได้  ส่วน จุฑามาศ จิตรพงษ์ พบ นักชกตุรกี ยอมรับว่ามีโอกาสมากที่สุดในบรรดา 3 คน เพราะนักมวยหญิงจากประเทศอิสลาม ส่วนใหญ่มีตัวเลือกไม่มาก ทำให้เราน่าจะมีลุ้นมากขึ้น

สำหรับแผนในอนาคตของสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย หลังจากจบกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ญี่ปุ่น สมาคมฯหวังจะเป็นเลิศทางด้านกีฬามวยสากล ตั้งเป้าติด 1 ใน 5 ของทวีปเอเชีย โดยจะสร้างนักมวยทุกระดับชั้น ทั้งยุวชน-เยาวชนและประชาชน ให้มีจำนวนมาก เพื่อเป็นตัวเลือกในทีมชาติ

ส่วนเรื่องของโค้ชต่างชาติ สมาคมฯคงเอามาเป็นที่ปรึกษาเรื่องแทคติกหรือเทคนิกมากกว่าเอามาเป็นหัวหน้าสตีาฟโค้ช เพราะที่ผ่านมาโค้ชไทยก็ทำหน้าที่ได้ดี เนื่องจากสมาคมฯ ส่งนักมวยไปแข่งขันทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติมากขึ้นในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมา ทำให้โค้ชไทยมีโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านี้และนำพัฒนาต่อยอดจนเป็นโค้ชที่มีฝีมือเป็นที่ต้องการของหลายชาติในอาเซียน